คอลเลกชัน Seamaster ถือเป็นเรือนเวลาที่เก่าแก่ที่สุดของ OMEGA โดยเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1948 แต่ความโดดเด่นในฐานะนาฬิกาดำน้ำอย่างแท้จริงได้เริ่มขึ้นด้วยการเปิดตัว Seamaster 300 ในปี ค.ศ. 1957 ในขณะที่ Seamaster Planet Ocean 600M ซึ่งเป็นนาฬิกาดำน้ำระดับเรือธงของแบรนด์ ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2005 และกำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีในปีนี้ หลังจากรุ่นที่ 2 ในปี 2011 และรุ่นที่ 3 ในปี 2016 ปี และในปีนี้ ถือเป็นการก้าวเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 4 อย่างเป็นทางการ ซึ่งมิใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านดีไซน์ เพื่อมอบเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจาก Seamaster Diver 300M อย่างสิ้นเชิง โดยมีการตัดองค์ประกอบสำคัญที่เคยมีมาออกไป เช่น เม็ดมะยม Helium Escape Valve และช่องแสดงวันที่
นาฬิกามาพร้อมกับหน้าปัดสีดำด้านที่มีคอนทราสต์สูงเพื่อการอ่านค่าที่ชัดเจน โดยคงเข็มทรงหัวลูกศรอันเป็นเอกลักษณ์ และหลักชั่วโมงทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่ถูกนำมาขัดเงาและเคลือบด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova แต่มีการปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ตัวเลขอาหรับที่ตำแหน่งหลักชั่วโมงในทิศหลักยังคงอยู่ แต่ได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นแบบเปิดที่มีรูปทรงเหลี่ยมคมยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้ากับตัวเรือนที่ดูทันสมัยและเฉียบคม และสิ่งที่แตกต่างคือมีการนำตัวเลขอาหรับมาใช้ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาแทนที่ช่องแสดงวันที่ ทำให้รุ่นนี้เป็นนาฬิกาแบบ No-Date ที่เน้นฟังก์ชันเวลาพื้นฐานบอกชั่วโมง-นาที โดยมีฟังก์ชัน Time Zone ที่สามารถปรับเข็มชั่วโมงทีละชั่วโมงได้โดยไม่กระทบต่อการเดินของกลไก ส่วนกระจกหน้าปัดเปลี่ยนมาใช้กระจกแซฟไฟร์เรียบพร้อมเคลือบสารกันแสงสะท้อน
ขนาดตัวเรือนที่กลับสู่ความคลาสสิกที่ 42 มิลลิเมตร หนา 13.79 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าบางลงอย่างมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ผลิตจากสเตนเลสสตีล ผสมผสานกับวงแหวนไทเทเนียมด้านในมาใช้รอบกระจกหน้าปัดซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น Ultra-Deep มาพร้อมกับฝาหลังแบบขันเกลียวที่ทำจากไทเทเนียม เพื่อรองรับระดับการกันน้ำที่ 600 เมตร และเป็นไปตามมาตรฐาน ISO-6425 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับนาฬิกาดำน้ำมืออาชีพ ขอบตัวเรือนแบบหมุนได้ทิศทางเดียวและติดตั้งแผ่น Ceramic Insert ในสีดำ สีน้ำเงิน หรือสีส้มพร้อมสเกลนาทีสำหรับดำน้ำ โดยมีการถอดปุ่ม Helium Escape Valve ที่ 10 นาฬิกาออกไป
ภายในติดตั้งกลไกไขลานอัตโนมัติ Omega Co-Axial Master Chronometer Calibre 8912 ซึ่งเป็นกลไกที่ได้มาตรฐาน Master Chronometer ที่รับรองโดย METAS และทนทานต่อสนามแม่เหล็กสูงถึง 15,000 gauss ทำงานที่ความถี่ 25,200 รอบต่อชั่วโมง (3.5 Hz) สำรองพลังงาน 60 ชั่วโมง ด้วยระบบ Twin-Barrel นาฬิการุ่นนี้มีตัวเลือกสายสองแบบหลัก ได้แก่ สายสเตนเลสสตีล และสายยาง โดยสายสเตนเลสสตีลได้รับการออกแบบใหม่เป็นแบบ 3 ข้อแบนที่มีโครงสร้างเพรียวบางลง มาพร้อมกับบานพับล็อกแบบพับได้ที่สามารถปรับความยาวแบบละเอียดได้ 6 ตำแหน่ง และมีส่วนขยายสำหรับชุดดำน้ำ ส่วนสายยางจะเชื่อมต่อกับตัวเรือนด้วย End-Links สเตนเลสสตีล
Omega Seamaster Planet Ocean 600m 4th Generation
Ref. 217.30.42.21.01.001 Black
Ref. 217.30.42.21.01.002 Blue
Ref. 217.30.42.21.01.003 Orange
สายสตีล ราคา 304,000 บาท
Ref. 217.32.42.21.01.001 Black
Ref. 217.32.42.21.01.002 Blue
Ref. 217.32.42.21.01.003 Orange
สายยาง ราคา 291,000 บาท
วางจำหน่าย พฤศจิกายน 2025
รายละเอียดเพิ่มเติม omegawatches.com
Initial thoughts
การเปิดตัว Seamaster Planet Ocean คอลเลกชันปี 2025 นี้ ถือเป็นความกล้าหาญครั้งสำคัญของ OMEGA ในการสร้างความแตกต่างทางดีไซน์อย่างชัดเจนจากรุ่น Diver 300M โดยเฉพาะรูปลักษณ์ตัวเรือนที่เฉียบคมขึ้น การตัด Helium Escape Valve ออกไป และการนำเสนอหน้าปัดแบบ No-Date แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาไปข้างหน้าอย่างแท้จริง การกลับสู่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42 มิลลิเมตร และความหนาที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 13.79 มิลลิเมตร นั้น เป็นจุดที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยเพิ่มความสบายในการสวมใส่โดยไม่ลดทอนคุณสมบัติการดำน้ำที่ระดับ 600 เมตร ซึ่งเหนือกว่ามาตรฐานทั่วไปของอุตสาหกรรม และเมื่อผสานเข้ากับกลไก Master Chronometer Calibre 8912 ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ทำให้รุ่นนี้เป็นนาฬิกาดำน้ำระดับมืออาชีพที่มีทั้งคุณภาพและเทคนิคที่ล้ำหน้า แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดูแข็งกร้าวนี้อาจสร้างการถกเถียงในกลุ่มผู้รักนาฬิกา แต่ถือเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่ OMEGA ได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่กล้าจะฉีกออกจากกรอบเดิม ๆ และกำหนดทิศทางใหม่ให้กับนาฬิกาดำน้ำระดับเรือธงของตนเอง








