Oris Big Crown Calibre 113 ยกระดับความงามเหนือกาลเวลาพร้อมกลไกแห่งอนาคต

ย้อนกลับไปในปี 1938 Oris ได้สร้างสรรค์นาฬิการุ่น Big Crown ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักบินในยุคนั้น โดดเด่นด้วยเม็ดมะยมขนาดใหญ่ที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายแม้ขณะสวมถุงมือหนัง และยังเป็นจุดกำเนิดของระบบวันที่แบบเข็มชี้ หรือ Pointer Date ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีนาฬิการุ่นที่โดดเด่น อาทิ Oris Big Crown Waldenburgerbahn Limited Edition

ล่าสุดกับนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดของ Oris กับรุ่น Big Crown Calibre 113 ที่ถือเป็นการผสมผสานความคลาสสิกของตระกูล Big Crown เข้ากับนวัตกรรมกลไกขั้นสูงของแบรนด์ได้อย่างลงตัว หน้าปัดสีเขียวที่มาพร้อมกับหน้าปัดย่อยสองวงสีชมพู ซึ่งถูกการจัดวางรายละเอียดที่ให้ความรู้สึกสมดุล อ่านค่าได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเข็มชั่วโมงและนาทีเคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® ที่ออกแบบตามเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรุ่น Big Crown ส่วนหลักชั่วโมงทรง baton และยังมีหน้าต่างแสดงวันและวันที่ พร้อมด้วยสเกลแสดงสัปดาห์และเดือนที่จัดวางอยู่รอบหน้าปัดและแสดงผลด้วยเข็มชี้หรือ Pointer และกระจกหน้าปัดแซฟไฟร์โค้งเคลือบแสงสะท้อนด้านใน

ตัวเรือนผลิตจากสแตนเลสสตีลคุณภาพสูง ขนาด 43 มิลลิเมตร หนา 13.5 มิลลิเมตร พร้อมคุณสมบัติการกันน้ำลึก 50 เมตร มาพร้อมเม็ดมะยมขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ ส่วนกลไกภายในคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เรือนนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้น ด้วยกลไกไขลานด้วยมือแบบ In-house Oris Calibre 113 ที่ทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง (3Hz) สำรองพลังงานยาวนานถึง 10 วัน (240 ชั่วโมง) และยังมีการตกแต่งที่ประณีตด้วยการขัดลายในแนวตั้ง ปิดท้ายด้วยสายนาฬิกาสเตนเลสสตีลพร้อมตัวล๊อกสายแบบบานพับ

Oris Big Crown Calibre 113

Ref. 113 7800 4057-07 8 21 06
ราคา 299,900 บาท
วางจำหน่าย กันยายน 2025
รายละเอียดเพิ่มเติม oris.ch

Initial thoughts

นาฬิกาเรือนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความสามารถในการผสมผสานความคลาสสิกกับนวัตกรรมใหม่ๆ ของโอริสได้อย่างยอดเยี่ยม ดูภายนอกอาจจะให้ความรู้สึกเหมือนนาฬิกานักบินวินเทจทั่วไป แต่เมื่อลงลึกไปที่รายละเอียด จะพบกับความซับซ้อนของกลไก Calibre 113 ที่ทำให้เรือนนี้โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะพลังงานสำรอง 10 วัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในนาฬิการะดับนี้ และยังแสดงผลบนหน้าปัดได้อย่างครบครัน ถึงแม้จะเป็นนาฬิกาที่มีขนาดตัวเรือนค่อนข้างใหญ่ แต่ด้วยดีไซน์ที่ลงตัวและมีกลิ่นอายความวินเทจ ทำให้รู้สึกว่าสามารถสวมใส่ได้ในหลายโอกาส และเป็นนาฬิกาที่ให้ความคุ้มค่าทั้งในแง่ของดีไซน์และเทคโนโลยี