ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1960 คือยุคทองแห่งนวัตกรรมและการแข่งขัน ทั้งในโลกของยานยนต์และวงการนาฬิกา ในปี 1969 Seiko ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเปิดตัว Speedtimer นาฬิกาโครโนกราฟอัตโนมัติเรือนแรกของโลกที่มาพร้อมกับนวัตกรรม Vertical Clutch และ Column Wheel ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การจับเวลาแม่นยำและเที่ยงตรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในปีเดียวกันนั้นเอง Datsun 240Z รถสปอร์ตในตำนานก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและกวาดความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและอเมริกาเหนือ ด้วยจิตวิญญาณแห่งความท้าทายและความมุ่งมั่นในการแสดงสมรรถนะขั้นสุด Datsun 240Z ได้เข้าสู่สนามแข่งขันแรลลี่ระดับโลก
และนี่คือจุดที่ Seiko และ Datsun ได้จับมือกัน ในปี 1971 Datsun 240Z หมายเลข 11 ที่ประดับโลโก้ Seiko ได้พิชิตสนาม East-African Safari Rally ระยะทางกว่า 6,200 กิโลเมตร คว้าชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในการแข่งขันที่ได้รับการยอมรับว่าโหดหินที่สุดรายการหนึ่งของโลก ความสำเร็จครั้งนั้นได้หล่อหลอมจิตวิญญาณแห่งความเร็ว ความเที่ยงตรง และการเอาชนะความท้าทายไว้ด้วยกัน และในวันนี้ Seiko Prospex Speedtimer ได้นำตำนานบทนั้นกลับมาอีกครั้งด้วยนาฬิการุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นที่ร่วมมือกับ Datsun 240Z รวมถึงนาฬิการุ่นใหม่ที่เสริมทัพซีรีส์ Speedtimer หลัก อันเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของ Prospex Speedtimer รุ่นก่อนหน้าอย่าง Caliber 8R48 และ Caliber 6R55 ที่เป็นที่ยอมรับในหมู่แฟนนาฬิกาโครโนกราฟ
นาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่นทั้งสามรุ่นที่ร่วมมือกับ Datsun 240Z ได้รับแรงบันดาลใจจากองค์ประกอบการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นนี้ โทนสีแดงและดำของตัวรถถูกถ่ายทอดลงบนหน้าปัดอย่างประณีต พร้อมด้วยสไตล์โลโก้ Datsun ที่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น เริ่มที่รุ่น SPB517 ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกลไก Caliber 6R55 ตัวหน้าปัดโดดเด่นด้วยโลโก้ Datsun รูปวงกลมสีแดงและสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินพร้อมตัวอักษรสีขาว มาพร้อมฟังก์ชันนับถอยหลังที่สามารถใช้ประโยชน์ในการจับเวลาสำคัญต่างๆ ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตได้อย่างลงตัว เช่น การนับถอยหลังก่อนการเริ่มการแข่งขัน หรือการกำหนดระยะเวลาเป้าหมายสำหรับกิจกรรมอย่างการเปลี่ยนยางและเติมเชื้อเพลิงในพิตสต็อป และใช้กระจกแซฟไฟร์แบบโค้งพร้อมการเคลือบสารกันสะท้อนที่พื้นผิวด้านใน ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 39.5 มิลลิเมตร หนา 12.0 มิลลิเมตร กันน้ำลึก 200 เมตร มีการเคลือบแข็งพิเศษเพื่อเพิ่มความทนทาน มาพร้อมสายหนังจากโรงฟอกหนังที่ได้รับการรับรองจาก Leather Working Group (LWG) ที่มีรูพรุนเพื่อความสวยงามแบบสปอร์ต าหลังสลักโลโก้ Datsun และหมายเลขประจำเรือน ภายในขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลานอัตโนมัติ แบบ In-House Caliber 6R55 ทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงาน 72 ชั่วโมง ต้านทานสนามแม่เหล็กที่ 4,800 A/m
สำหรับรุ่น SRQ057 ซึ่งเป็นนาฬิกาโครโนกราฟมาพร้อมกับหน้าปัดที่พิมพ์ชื่อ Datsun ในรูปแบบตัวเขียนอย่างสวยงาม พร้อมด้วยมาตรวัด Tachymeter บนขอบหน้าปัดด้านนอกที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่านค่าและเสริมความสปอร์ต มาตรวัดนี้สามารถวัดความเร็วได้ตั้งแต่ 50 กม./ชม. ถึง 60 กม./ชม. ซึ่งเป็นการยกย่องสไตล์ขอบหน้าปัดของ Speedtimer ดั้งเดิมจากปี 1969 และใช้กระจกแซฟไฟร์โค้งคู่พร้อมการเคลือบสารกันสะท้อนที่พื้นผิวด้านใน ตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบสีดำขนาด 42.0 มิลลิเมตร หนา 14.6 มิลลิเมตร กันน้ำลึก 100 เมตร มาพร้อมสายหนังจากโรงฟอกหนังที่ได้รับการรับรองจาก Leather Working Group (LWG) ฝาหลังสลักโลโก้ Datsun และหมายเลขประจำเรือน ภายในขับเคลื่อนด้วยกลไกจับเวลาแบบไขลานอัตโนมัติ Caliber 8R48 ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สำรองพลังงาน 45 ชั่วโมง พร้อมฟังก์ชันจับเวลาต่อเนื่อง 30 นาที สูงสุด 12 ชั่วโมง ต้านทานสนามแม่เหล็กที่ 4,800 A/m
ส่วนรุ่น SSC957 เป็นนาฬิกาโครโนกราฟพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้กลไก V192 แสดงชื่อ Datsun ในรูปแบบตัวอักษรบล็อก มาพร้อมฟังก์ชันโครโนกราฟ 60 นาทีและหน้าปัดย่อย 24 ชั่วโมง โดยสามารถทำงานได้นานถึงหกเดือนเมื่อชาร์จพลังงานเต็มที่ ตัวเลขอาหรับบนหน้าปัดของนาฬิกาลิมิเต็ดเอดิชั่นทั้งสามรุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากแบบอักษรที่ใช้บนแผงหน้าปัดเครื่องมือของ Datsun 240Z ซึ่งเพิ่มความพิเศษให้กับคอลเลกชันนี้ โลโก้ Datsun อันเป็นเอกลักษณ์ยังถูกแกะสลักบนฝาหลัง โดย SPB517 มาพร้อมโลโก้แบรนด์ที่ใช้ในยุคนั้น ขณะที่ SRQ057 มีโลโก้ที่อิงจากตราสัญลักษณ์บนรถแรลลี่ และ SSC957 ตกแต่งด้วยภาพประกอบ Datsun 240Z ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับนาฬิการุ่นนี้โดยเฉพาะ และใช้กระจกแซฟไฟร์แบบโค้งพร้อมการเคลือบสารกันสะท้อนที่พื้นผิวด้านใน ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 41.4 มิลลิเมต หนา 13.0 มิลลิเมตร กันน้ำลึก 100 เมตร มาพร้อมสายสเตนเลสสตีล ฝาหลังสลักรูปรถแข่งแรลลี่ Datsun 240Z ภายในขับเคลื่อนด้วยกลไก Splar Caliber V192 ทำงานได้อย่างเที่ยวตรงในระดับ ±15 วินาทีต่อเดือน สำรองพลังงานยาวนาน 6 เดือน แม้ไม่ได้ชาร์จพลังงานจากแสง ต้านทานสนามแม่เหล็กที่ 4,800 A/m
นอกจากรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นแล้ว Seiko ยังได้เปิดตัวนาฬิกาเพิ่มเติมอีกสามสมาชิกใหม่ในซีรีส์ Prospex Speedtimer โดยมีฟังก์ชันบอกเวลาและวันที่ มาพร้อมหน้าปัดสีเงินขาวและสีดำ ขับเคลื่อนด้วยกลไก Caliber 6R55 ตัวเรือนขนาด 39.5 มิลลเมิตร หนา 12.0 มิลลิเมต กันน้ำลึก 200 เมตร การออกแบบตัวเรือนที่เพรียวบางและสายนาฬิกาแบบหลายแถวที่สง่างามสืบทอดรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ Speedtimer ที่เปิดตัวในปี 1972 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสวยงามแบบวินเทจในยุค 70s
ส่วนรุ่นโครโนกราฟที่ขับเคลื่อนด้วย Caliber 8R48 ในซีรีส์หลัก มีขอบหน้าปัดสีดำเข้ากับหน้าปัด และมาพร้อมมาตรวัด Tachymeter บนขอบหน้าปัดด้านนอกที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่านค่าและความสวยงามแบบสปอร์ต
Seiko Prospex Speedtimer Mechanical Datsun 240Z Limited Edition
Ref. SPB517
ผลิตจำนวนจำกัด 2,500 เรือนทั่วโลก
ราคา 46,500 บาท
Seiko Prospex Speedtimer Mechanical Chronograph Datsun 240Z Limited Edition
Ref. SRQ057
ผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือนทั่วโลก
ราคา 127,000 บาท
Seiko Prospex Speedtimer Solar Chronograph Datsun 240Z Limited Edition
Ref. SSC957
ผลิตจำนวนจำกัด 4,000 เรือนทั่วโลก
ราคา 40,500 บาท
Seiko Prospex Speedtimer Mechanical
Ref. SPB513 (หน้าปัดสีเงินขาว)
Ref. SPB515 (หน้าปัดสีดำ)
ราคา 36,500 บาท
Seiko Prospex Speedtimer Mechanical Chronograph
Ref. SRQ055 (หน้าปัดสีดำ)
ราคา 100,000 บาท
นาฬิกาทุกรุ่นวางจำหน่าย กันยายน 2025
รายละเอียดเพิ่มเติม seikowatches.com
Initial Thoughts
การร่วมมือกันระหว่าง Seiko Prospex Speedtimer และ Datsun 240Z ในครั้งนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของทั้งสองแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยม การนำเสนอจิตวิญญาณแห่งความเร็วและนวัตกรรมจากยุค 60s และ 70s ผ่านนาฬิกาโครโนกราฟที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัวนั้นน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง การออกแบบที่ถอดรหัสมาจาก Datsun 240Z ไม่ว่าจะเป็นโทนสี รูปแบบโลโก้ หรือแม้แต่ฟอนต์ตัวเลขบนหน้าปัด ล้วนเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งและดึงดูดใจผู้หลงใหลในประวัติศาสตร์ยานยนต์และนาฬิกาได้อย่างแท้จริง และการที่ Seiko ยังคงมุ่งมั่นที่จะใช้หนังจากโรงฟอกหนังที่ได้รับการรับรองจาก LWG สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในความยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของแบรนด์ โดยรวมแล้ว คอลเลกชันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกย่องอดีต แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีคุณค่าและน่าสะสมสำหรับอนาคตอีกด้วย











